เก้าอี้โรงหนัง มีกี่แบบ? สามารถประยุกต์ใช้กับสถานที่ไหนได้บ้าง?

ทำไมหลายคนหา เก้าอี้โรงหนัง?

ทุกวันนี้ต่อให้มีบริการสตรีมมิงให้ดูหนังที่บ้านได้ทั้งวัน แต่โรงภาพยนตร์ก็ยังอยู่ได้ เพราะไม่ได้ขายแค่ “ตั๋วหนัง” อย่างเดียวอีกต่อไป สิ่งที่โรงหนังต้องแข่งกันจริง ๆ คือ “ประสบการณ์การนั่งดู” ที่เวลานั่งที่บ้านให้ไม่ได้ และหัวใจของประสบการณ์นี้ก็คือเก้าอี้นั่งในโรงภาพยนตร์นั่นเอง

สำหรับคนที่ทำงานด้านจัดซื้อ เจ้าของโรงหนัง ผู้รับเหมา หรือแม้แต่เจ้าของโฮมเธียเตอร์ที่บ้าน การเข้าใจว่าเก้าอี้โรงหนังมีกี่แบบ จุดเด่นแต่ละแบบคืออะไร และเอาไปใช้ในงานประเภทไหนได้บ้าง จะช่วยให้เลือกลงทุนได้คุ้มขึ้นเยอะ บทความนี้เลยขอสรุปแบบง่ายๆ ไม่ต้องเป็นดีไซเนอร์ก็อ่านรู้เรื่อง เน้นไปที่มุมมอง “เลือกยังไงให้ถูกงาน” มากกว่าการใช้ทฤษฎี แบบเข้าใจยาก

เก้าอี้โรงหนัง สำคัญขนาดไหนในยุคสตรีมมิงครองเมือง?

ในอดีตโรงหนังเน้นจุคนเยอะ ๆ เก้าอี้เรียงเต็มห้อง ขยับตัวลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ยุคนี้คนดูเริ่มเปรียบเทียบกับโซฟาที่บ้าน ถ้าต้องเสียเวลาออกจากบ้าน แถมเสียเงินเพิ่ม คนคาดหวังความสบายมากกว่าปกติ โรงหนังเลยเริ่มลงทุนกับเก้าอี้มากขึ้น ทั้งเรื่องดีไซน์ การเอน ความนุ่ม พื้นที่วางแขน ไปจนถึงที่วางอาหาร ช่องใส่เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งที่ชาร์จโทรศัพท์

เพราะฉะนั้นเก้าอี้โรงหนังจึงไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ แต่เป็น “กลยุทธ์ธุรกิจ” ที่ช่วยเพิ่มรายได้ต่อที่นั่ง (Revenue per seat) ซึ่งในบางครั้งโรงหนังยอมลดจำนวนที่นั่งลง โดยสามารถเพิ่มความพรีเมียมให้เก้าอี้ แล้วขยับราคาตั๋วหรือค่าบริการขึ้นแทน ใครขายประสบการณ์ได้ดีกว่า ก็มีโอกาสดึงลูกค้ากลับมาจากหน้าจอที่บ้านได้มากกว่า

แล้ว เก้าอี้โรงหนังมีกี่แบบหลักๆ?

ถ้าแบ่งแบบมองภาพรวมสำหรับคนทำโปรเจกต์ จะเห็นว่า “เก้าอี้โรงหนังยุคใหม่” แบ่งได้ประมาณ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามฟังก์ชันและระดับความหรูหรา คือ

เก้าอี้มาตรฐาน และแบบคลาสสิก (Standard / Classic Seating)

กลุ่มนี้คือเก้าอี้โรงหนังแบบดั้งเดิมที่เน้น “ทน ใช้งานง่าย จุคนได้เยอะ” ยึดติดกับพื้นเรียงเป็นแถว โครงเหล็กแข็งแรง หุ้มฟองน้ำและผ้า หรือหนังสังเคราะห์ จุดที่เจอประจำคือ

  • เบาะพับอัตโนมัติ – ลุกแล้วเบาะดีดขึ้นเอง เพิ่มพื้นที่เดิน ทำความสะอาดง่าย
  • โครงสร้างเหล็กเคลือบผง – ทนสนิม ทนการใช้งานหนักในพื้นที่คนเดินเข้าออกทั้งวัน
  • เหมาะกับพื้นที่จำนวนที่นั่งเยอะ – โรงหนังทั่วไป ห้องประชุม โรงเรียน มหาวิทยาลัย

เก้าอี้มาตรฐานเหมาะกับงานที่ต้องเน้น “จำนวนที่นั่งต่อพื้นที่” มากกว่าความหรู เช่น โรงหนังราคาปกติ หอประชุม ออดิทอเรียมของรัฐ หรือศูนย์ประชุมที่มีคนใช้หมุนเวียนตลอดทั้งปี

เก้าอี้คลับร็อกเกอร์ และพรีเมียมที่โยกได้ (Club Rocker)

ถัดจากมาตรฐานขึ้นมาอีกขั้นคือเก้าอี้สไตล์ “Club Rocker” ซึ่งหน้าตาอาจคล้ายเก้าอี้โรงหนังทั่วไป แต่จะกว้างขึ้น นุ่มขึ้น และ “โยกได้เล็กน้อย” ให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม จุดเด่นคือ

  • นอนบนโซฟา ยิ่งถ้าเป็นรุ่นที่มีระบบเอนไฟฟ้า (Power Recline) ลูกค้ากดปุ่มแล้วปรับได้เองตามใจ จุดเด่นหลักคือ
  • เอนได้ทั้งพนักพิงและที่วางขา เหยียดขาได้เต็มที่
  • บางรุ่นมีโต๊ะอาหารส่วนตัว ที่วางแก้ว USB ชาร์จมือถือ หรือตัวทำความร้อนเบาะ
  • ใช้มอเตอร์เงียบมาก เพื่อลดเสียงรบกวนขณะหนังฉาย

ข้อเสียคือใช้พื้นที่เยอะ ต้องเพิ่มระยะห่างระหว่างแถว (Seat pitch) มากกว่าที่นั่งปกติ โรงหนังจึงต้อง “ลดจำนวนที่นั่ง” แต่ไปเพิ่มรายได้ต่อที่นั่งแทน เหมาะกับโซน VIP หรือโรงหนังพรีเมียมเต็มโรง

เก้าอี้ Motion / Immersive – ที่นั่งที่ขยับตามหนัง

ถ้าอยากให้ที่นั่ง “เป็นส่วนหนึ่งของหนัง” กลุ่มนี้คือคำตอบ เช่น เก้าอี้แบบ D-BOX หรือที่ติด seat rumbler ในโรงระบบเสียงพิเศษ ที่นั่งจะสั่นหรือขยับตามฉากแอ็กชัน ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องเล่นมากกว่าดูหนังเฉย ๆ

จุดเด่นคือประสบการณ์ที่ต่างจากโรงหนังปกติชัดเจน ลูกค้าเป้าหมายมักเป็นสายหนังแอ็กชัน เกมเมอร์ หรือคนที่อยากลองอะไรพิเศษสักครั้ง แต่ต้นทุนเก้าอี้และระบบควบคุมจะสูงกว่าแบบอื่นอย่างชัดเจน

เก้าอี้โรงหนังแบบต่าง ๆ เอาไปใช้ที่ไหนได้อีกบ้าง?

หลายคนคิดว่าเก้าอี้โรงหนังใช้ได้แค่ในโรงภาพยนตร์ แต่จริง ๆ แล้วดีไซน์และฟังก์ชันของเก้าอี้กลุ่มนี้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในอีกหลายประเภทอาคาร โดยเฉพาะงานที่ต้องให้คน “นั่งนาน ๆ” เช่น ฟังบรรยาย ประชุม หรืออบรมทั้งวัน

1) โฮมเธียเตอร์ส่วนตัว และห้องดูหนังในบ้าน

ตลาดโฮมเธียเตอร์กำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าของบ้านหลายคนอยากได้ประสบการณ์เหมือนโรงหนังย่อส่วนในบ้าน เก้าอี้ที่นิยมใช้คือ

  • Recliner แบบเดี่ยว หรือจัดเป็นแถว 2–3 ที่นั่ง
  • เก้าอี้แบบ Modular ต่อกันได้ ปรับเลย์เอาต์ง่าย
  • รุ่นที่มี Near-wall recline เอนได้แม้ติดผนัง ช่วยประหยัดพื้นที่

ในโฮมเธียเตอร์ เจ้าของบ้านมักให้ความสำคัญกับทั้งความสบายและดีไซน์ไปพร้อมกัน เช่น เลือกวัสดุหุ้มที่เข้ากับสไตล์ห้อง มีไฟ LED ที่ฐานเก้าอี้เล็กน้อยให้เดินได้ตอนปิดไฟดูหนัง โดยไม่ทำให้ห้องสว่างเกินไป

2) ห้องบรรยาย หอประชุม และศูนย์ฝึกอบรม

งานสัมมนาและห้องบรรยายขนาดใหญ่ก็ใช้ “เก้าอี้สไตล์โรงหนัง” เยอะเหมือนกัน โดยจะเน้นเก้าอี้แบบที่

  • เบาะพับขึ้นอัตโนมัติ เพื่อให้คนเดินเข้าออกแถวได้สะดวก
  • มีโต๊ะเขียนแบบพับเก็บได้ที่ที่วางแขน หรือเป็นโต๊ะแบบสวิงหมุนเข้า–ออก
  • มีโครงสร้างยึดกับพื้นเพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบ

ในบางโครงการจะเลือกแบบที่หมุนได้เล็กน้อย (Swivel & Pivot) เพื่อให้ผู้เข้าฟังบรรยายหันตามจอหรือวิทยากรได้ง่าย แต่เก้าอี้จะเด้งกลับตำแหน่งเดิมเองหลังลุกออก ช่วยให้งานดูเป็นระเบียบ ไม่ต้องเสียเวลาเดินมาเก็บจัดแถวใหม่ทุกครั้ง

3) ห้องจัดเลี้ยง ห้องจัดกิจกรรม และศูนย์ประชุมเอนกประสงค์

ในฮอลล์จัดงานหรือศูนย์ประชุมบางแห่ง เจ้าของโครงการเลือกใช้เก้าอี้สไตล์โรงหนังสำหรับโซน VIP หรือโซนชมการแสดง เช่น

  • เก้าอี้ Club Rocker สำหรับโซนด้านหน้าเวที
  • ที่นั่งแบบพรีเมียมสำหรับงานประชุมผสมโชว์ หรือการเปิดตัวสินค้า

จุดสำคัญของงานประเภทนี้คือ ต้องบาลานซ์ระหว่างภาพลักษณ์ความหรูหรา กับความยืดหยุ่นในการใช้งานจริง เช่น บางครั้งต้องถอดเก้าอี้บางแถวออกเพื่อทำพื้นที่ว่างสำหรับบูธหรือกิจกรรมอื่น ๆ จึงควรออกแบบให้ระบบรางหรือชุดเก้าอี้สามารถถอด/ติดตั้งได้โดยไม่เสียโครงสร้างห้อง

4) โรงละครขนาดเล็ก สตูดิโอครีเอทีฟ และสเปซสำหรับจัดโชว์

สตูดิโอคอนเทนต์ โรงละครเล็ก หรือพื้นที่จัดงานโชว์งานสร้างสรรค์ นิยมใช้เก้าอี้สไตล์โรงหนังค่อนข้างมาก เพราะให้บรรยากาศคล้ายโรงภาพยนตร์ แต่ปรับรูปแบบให้เข้ากับสเปซได้ เช่น

  • ใช้เก้าอี้มาตรฐานที่หุ้มผ้าสีเข้มเพื่อเน้นเวทีและจอ
  • จัดเลย์เอาต์แบบสลับฟันปลา เพื่อลดบังสายตาคนข้างหน้า
  • เน้นวัสดุที่ช่วยดูดซับเสียง ช่วยเรื่องอะคูสติกของห้องไปในตัว

วิธีเลือกให้เหมาะกับโปรเจกต์ ดูอะไรบ้าง?

สำหรับคนที่ต้องตัดสินใจเลือกเก้าอี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจัดซื้อ หรือเจ้าของโปรเจกต์เอง สามารถคิดง่าย ๆ ตามนี้

  • 1. เป้าหมายหลักของห้องคืออะไร – ถ้าต้องจุคนเยอะ เน้นมาตรฐานและความทนทาน แต่ถ้าเน้นประสบการณ์พรีเมียม รายได้ต่อที่นั่ง เก้าอี้ recliner หรือ club rocker จะตอบโจทย์กว่า
  • 2. พื้นที่ต่อแถวมีแค่ไหน – ระยะระหว่างแถว (seat pitch) คือปัจจัยสำคัญ Recliner ต้องการพื้นที่มากกว่ามาก ถ้าห้องไม่ใหญ่ อาจต้องเลือกรุ่นที่เอนได้ปานกลาง แต่จัดแถวได้แน่นกว่า
  • 3. ภาพลักษณ์ที่อยากสื่อ – ถ้าเป็นโรงหนังหรูหรือโฮมเธียเตอร์ในบ้าน วัสดุหุ้ม สี และดีไซน์จะมีผลต่อภาพรวม ถ้าเป็นห้องบรรยายราชการ เน้นทนง่ายและดูเป็นทางการมากกว่า
  • 4. การดูแลหลังใช้งาน – โครงสร้างต้องแข็งแรง ซ่อมได้ เปลี่ยนอะไหล่ได้ ไม่ต้องยกออกทั้งแถวเวลาเสียหนึ่งตัว วัสดุหุ้มควรทนไฟและทำความสะอาดง่าย

ไม่ใช่แค่เรื่อง “นั่งสบาย” แต่เป็นการลงทุนสำหรับฟิลลิ่งที่ดีกว่า

ถ้าตอบคำถามง่าย ๆ ว่า “เก้าอี้โรงหนังมีกี่แบบ?” ในมุมของคนทำงานจริงก็คือ แบ่งหลัก ๆ ได้เป็นกลุ่มมาตรฐาน กลุ่มพรีเมียมแบบโยก และกลุ่ม Recliner / Motion ที่เน้นประสบการณ์จัดเต็ม ส่วนจะเลือกแบบไหน ขึ้นอยู่กับว่าอยากให้ห้องนั้น “เล่าเรื่องอะไร” กับคนที่นั่งอยู่

สำหรับคนทั่วไป เก้าอี้โรงหนังอาจเป็นแค่ที่นั่งดูหนังหนึ่งเรื่องแล้วก็ลุกออกไป แต่สำหรับคนด้านจัดซื้อ เจ้าของโรงหนัง เจ้าของโฮมเธียเตอร์ หรือผู้ดูแลอาคารขนาดใหญ่ การเลือกเก้าอี้ที่ถูกแบบ ถูกฟังก์ชัน และถูกภาพลักษณ์ คือหนึ่งในการลงทุนสำคัญที่ส่งผลยาวทั้งต่อรายได้และความพึงพอใจของผู้ใช้งานในระยะยาว

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือใบเสนอราคาเก้าอี้โรงหนัง

Chairing Group

ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำรูปแบบเก้าอี้ที่เหมาะสมกับงบประมาณและลักษณะสถานที่
ไม่ว่าจะเป็นแบบถาวร พับเก็บได้ หรือเคลื่อนย้ายได้ พร้อมบริการออกแบบและติดตั้งครบวงจรทั่วประเทศ
ดูผลงานของเราที่นี่ https://chairing-group.com/our-work


 ติดต่อเราผ่าน LINE เพื่อขอใบเสนอราคา